31 วันแห่งความมหัศจรรย์ 'เวิล์ดคัพ 2018'

 

 

31 วันแห่งความระทึกใจ

มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในความทรงจำ กับฟุตบอลโลกที่ยอดเยี่ยมไปเสียทุกอย่าง ทั้งคุณภาพของเกม ดราม่า เรื่องเซอร์ไพรส์ และการเป็นเจ้าภาพที่ดีจริงๆของรัสเซีย นี่คือบทสรุป 24 ข้อ ในเวิลด์คัพครั้งนี้

1) วีเออาร์ และ โกลไลน์คือคำตอบของความยุติธรรม ที่ผ่านมา มีคนแย้งเสมอเรื่องการใช้วีเออาร์ เพราะกลัวทำให้เกมช้า เสียเวลา และลดความสนุกลง แต่เมื่อฟีฟ่าเอามาใช้ พวกเขาไม่ได้ใช้แบบพร่ำเพรื่อ ใช้แค่จังหวะสำคัญจริงๆเท่านั้น และมีทีมงานถึง 4 คน รับผิดชอบเฉพาะวีเออาร์โดยเฉพาะ นั่นทำให้ เราได้ความยุติธรรมกลับคืนมา แถมเกมก็ยังสนุกอยู่ คือ ในฟุตบอลลีกทั่วไปอาจไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ในรายการสำคัญที่สุดในโลก ไม่ควรมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ทุกอย่างต้องเคลียร์

 

 

2) เราเห็นว่าช่องว่างระหว่างชาติเล็กๆกับชาติใหญ่ๆ มันเข้าใกล้กันมากขึ้น ทีมจากเอเชียอย่างอิหร่าน เกือบชนะโปรตุเกส , ญี่ปุ่นเกือบชนะเบลเยี่ยม หรือ เกาหลีใต้เอาชนะเยอรมันได้ ถ้าคุณไม่ใช่มือใหม่จริงๆ แบบปานามา การจะมาโดนถล่มกระจุย 4-5 ลูก มันแทบเป็นไปไม่ได้ ทีมเล็กๆ ก็รู้จักวางแผน และหาวิธีที่จะเอาชนะได้

 

3) เราได้เห็นสัจธรรมว่า ทีมที่ฝากความหวังไว้ที่นักเตะ 1-2 คน ไม่เพียงพอจะประสบความสำเร็จได้ อียิปต์ มีแค่ซาลาห์คนเดียวที่เป็นทุกอย่าง พอซาลาห์ไม่สมบูรณ์ก็ตกรอบแรก ทีมที่จะเข้ารอบลึกๆได้ ต้องมีขุมกำลังสมบูรณ์ในทุกตำแหน่ง มีตัวเปลี่ยนเกมหลายคนในสนาม

 

4) ทีมที่จะไปได้ไกล โค้ช และนักเตะ ต้องเก่งทัดเทียมกัน บางทีมโค้ชเก่ง อย่างสวีเดน หรือเม็กซิโก แต่ศักยภาพของนักเตะมีขีดจำกัดก็ไปได้แค่นั้น หรือ บางทีนักเตะเก่งมาก อย่างอาร์เจนติน่า มี เมสซี่,ดิบาล่า,อิกวาอิน,อเกวโร่ ในแนวรุก แต่เจอโค้ชใช้งานไม่เป็นอย่างซัมเปาลี ทีมก็ไปไม่รอด มันต้องสมดุลทั้งสองฝั่ง

 

5) คุณไม่จำเป็นต้องเล่นสวยเพื่อเอาชนะคู่แข่ง แต่แค่รู้จักตัวเองดีพอ ก็ชนะคู่แข่งได้ ตัวอย่างเช่นอังกฤษ อาจจะไม่มีนักเตะเวิลด์คลาส และไม่สามารถต่อบอลแบบเนียนตาได้ แต่พวกเขาหันมาโฟกัสการเล่นลูกนิ่งอย่างเต็มตัว ทุกเตะมุม ทุกฟรีคิก อังกฤษเน้นมากๆ จนเป็นอาวุธ ในบอลโลกครั้งนี้ อังกฤษยิงได้ 12 ลูก โดย 9 ในนั้นมาจากลูกเซ็ตพีซ คิดเป็น 75% ของประตูที่พวกเขาทำได้

 

6) ฟุตบอลโลกครั้งนี้ ปลุกกระแสทีมชาติของอังกฤษให้กลับมาบูมอีกครั้ง ก่อนบอลโลกจะเริ่มคนอังกฤษ แค่คิดว่ามาถึงรอบ 8 ทีมก็เก่งแล้ว แต่สุดท้าย พวกเขามาไกลถึงอันดับ 4 ก็ถือว่าดีกว่าที่คิด นี่ถือเป็นครั้งที่อังกฤษเข้าใกล้บอลโลกมากที่สุด ซึ่งใน 4 ปีข้างหน้า แข้งตัวหลักของอังกฤษ จะเข้าสู่จุดพีกพอดี ทั้งแฮร์รี่ เคน ,ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ,แฮร์รี่ แม็คไกวร์ และ เดเล่ อัลลี่ ซึ่งถึงวันนั้น ความฝัน It's coming home อาจเป็นจริงได้เสียที

 

7) เราได้เห็นว่าโค้ชจำนวนมาก ยึดมั่นในนักเตะที่ตัวเองไว้ใจ แม้ผลงานจะไม่ดี แต่พวกเขาจะให้โอกาสเสมอ เพราะเป็นคนที่เข้ากับแผนตัวเองที่สุด น้อยคนมาก จะกล้าเปลี่ยนทีมกลางอากาศ ตัวอย่างเช่น ซามี เคดิร่า เล่นไม่เวิร์ก แต่โยกี้ เลิฟก็ให้ลงตลอด, กาเบรียล เชซุส ยิงไม่ได้สักลูก แต่ติเต้ ก็ไม่ให้โอกาสฟีร์มีโน่แทน หรือ เมซ่า / ปาวอน ก็ได้รับโอกาสเสมอจากซัมเปาลี ส่วนดิบาล่าน่ะหรอ ได้ลง 22 นาที!

 

8) บอลโลกครั้งนี้ เราเห็นบรรยากาศของแฟนบอลทั่วโลก มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพราะยุคนี้ ทุกคนมีมือถือสามารถอัดคลิปได้หมด โลกเรามีการ Live ทำให้เราเห็นบรรยากาศการเชียร์ฟุตบอลทุกมุมโลก ซึ่งทำให้เราได้รู้เลยว่า ฟุตบอลโลกมันยิ่งใหญ่แค่ไหน

 

9) ช็อตที่ผมชอบมากที่สุดในรอบแบ่งกลุ่ม คือแฟนบอลเม็กซิโก ไปขอบคุณแฟนเกาหลีใต้ที่ช่วยเขี่ยเยอรมันตกรอบ มีการไปปิดล้อมสถานทูตเกาหลีใต้ ในเม็กซิโก้ซิตี้ เชิญท่านทูตมาดื่มเตกีล่า และร้องเพลงว่า " "Corea, hermano, ya eres Mexicano" หรือแปลเป็นไทยว่า "เกาหลีน้องชาย ตอนนี้นายเป็นเม็กซิกันแล้ว" มิตรภาพระหว่างสองชาติสร้างขึ้นด้วยเกมนัดเดียวอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ซึ่งเรื่องแบบนี้ถ้าไม่ใช่บอลโลก ไม่มีทางทำได้

 

10) ในตอนนี้ ช่องว่างระหว่างชาติยุโรป กับอเมริกาใต้ ห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่บราซิลได้แชมป์โลกในปี 2002 บอลโลกอีก 4 ครั้งต่อมา แชมป์เป็นของยุโรปทั้งหมด ในอดีต เราจะเห็น ยุโรปกับอเมริกาใต้ ผลัดกันแพ้ชนะตลอด แต่เวลานี้ ยุโรปกลายเป็นยึดอำนาจของวงการฟุตบอลโลกไปเสียแล้ว และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ชาติอเมริกาใต้ อย่างบราซิล,อาร์เจนติน่า,อุรุกวัย หรือ โคลอมเบีย จะกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง

 

11) มีข้อพิสูจน์ให้เห็นว่า ทีมที่ครองบอลมากกว่า ไม่ได้แปลว่าจะเป็นผู้ชนะ ในยุคนี้ไม่ได้วัดกันที่เปอร์เซ็นต์การครองบอล แต่วัดกันที่ความเฉียบขาดในการจบสกอร์ เกมรอบ 16 ทีม ที่สเปน แพ้จุดโทษรัสเซีย เกมนั้น สเปนครองบอล 75% และจ่ายบอลรวมทั้งหมด 1137 ครั้ง สุดท้ายตกรอบ หรือ เกมเยอรมัน แพ้เกาหลีใต้ เกมนั้นเยอรมันครองบอล 70% และจ่ายบอลมากกว่าเกาหลี 3 เท่า (633 ครั้ง ต่อ 176 ครั้ง) สุดท้ายแพ้ 0-2

 

12) ในบอลโลกครั้งนี้ตั้งแต่ดูมา มีการโห่ในสนามครั้งเดียว คือเกมญี่ปุ่นกับโปแลนด์นัดสุดท้ายของกลุ่ม H โดย 5 นาทีสุดท้ายในเกมนั้น ระหว่างที่โปแลนด์นำ 1-0 ทั้งสองทีมคือไม่แข่งกันแล้ว เพราะโปแลนด์ก็ตกรอบไปแล้ว ประคองตัว 1-0 ก็พอ ขอเก็บสามแต้มส่งท้าย ส่วนญี่ปุ่นถ้าแพ้ 1-0 ก็จะเข้ารอบ ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการสกอร์อีกต่อไป สองทีมเคาะบอลไปมา จนหมดเวลา ซึ่งแฟนๆที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจึงโห่ลั่นสนาม แต่ญี่ปุ่นไม่สน บอลระดับนี้ ไม่ใช่เวลามาเล่นเอาใจใคร มันต้องเน้นผลแล้ว

 

13) บอลของทวีปแอฟริกา ถือว่าตกต่ำอย่างแท้จริง 5 ทีมไม่มีเข้ารอบสองได้สักทีมเดียว หากย้อนดูในอดีต แอฟริกามักจะมีเซอร์ไพรส์ตลอด แคเมอรูนไปถึงรอบ 8 ทีม ปี 1990 , เซเนกัล ถึงรอบ 8 ทีม ปี 2002 และ กาน่าถึงรอบ 8 ทีมปี 2010 แต่มาคราวนี้ พวกเขาจอดสนิทตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ซึ่ง ถือว่าน่าผิดหวัง

 

14) บอลโลกครั้งนี้จะเห็นเลยว่า การแอ็กติ้ง ไม่ได้ผลอีกแล้ว เพราะมันมีวีเออาร์อยู่ คุณแกล้งพุ่ง เพื่อเรียกจุดโทษ สุดท้ายก็เห็นย้อนหลังอยู่ดี ไม่มีประโยชน์ที่จะทำ และอย่าลืมว่า บอลโลกมีกล้องทุกจุดของสนาม ถ้าคุณแกล้งแอ็กติ้ง แกล้งเจ็บ กล้องวีดีโอย่อมจับภาพได้แน่นอน ว่าคุณแกล้ง และมันจะส่งผลเสียหายต่อชื่อเสียงของตัวเอง

 

15) มีการตั้งกฎ แฟร์เพลย์ นับใบเหลือง หากกรณีที่สองทีมมีแต้ม ลูกได้เสีย และเฮดทูเฮดเท่ากันหมดทุกอย่าง ซึ่งในกลุ่ม H กฎนี้ได้นำมาใช้ และเป็นญี่ปุ่นที่เข้ารอบต่อไป ส่วนเซเนกัลตกรอบ แต่น่าชื่นชมเซเนกัลที่ไม่ได้โวยวายอะไร เพราะกฎเขาตั้งเอาไว้แต่แรกก่อนที่จะแข่งแล้ว

 

16) คีลียัน เอ็มบัปเป้ เด็กวัย 19 แสดงให้โลกเห็นว่า เขาพร้อมเป็นนักเตะหมายเลข 1 ของโลกคนต่อไป ดูเอ็มบัปเป้เล่น แล้วคิดถึงโรนัลโด้แห่งบราซิลไม่มีผิด จังหวะสปีดตัว ความเฉียบขาดจังหวะจบสกอร์ รวมถึงเทคนิคที่เหลือร้าย ลูกตอกส้นในเกมเบลเยี่ยม ถ้าชิรูด์ยิงเข้าไป จะเป็นแอสซิสต์แห่งทัวร์นาเมนต์เลย และก็ไม่แปลกใจด้วย ที่เขาได้รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยม เชื่อไหม ถ้าเนย์มาร์ ยังเล่นบอลด้วยทัศนคติแบบนี้ ไม่เกิน 1 ปี เอ็มบัปเป้แซงแน่

 

17) ถ้ายกทีมขวัญใจแห่งทัวร์นาเมนต์ ทีมนั้นคือโครเอเชีย พวกเขาเอาชนะอาร์เจนติน่ามาได้ในรอบแรก 3-0 แถมยังเล่นเต็มที่กับไอซ์แลนด์ ทั้งๆที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรแล้ว (และชนะด้วย) จากนั้น รอบน็อคเอาต์ 3 รอบ ต้องเล่นต่อเวลา 120 นาทีทุกนัด ลุ้นระทึกทุกเกม กับตัวผู้เล่นระดับ B ถึง B+ (มีเกรด A คนเดียวคือโมดริช) มาได้ถึงรอบชิง ถือว่ามหัศจรรย์ที่สุดแล้ว

 

18) แต่ถ้าถามว่าทีม ที่ดีที่สุดในรายการนี้ แน่นอน มันคือแชมป์โลกฝรั่งเศส พวกเขาสมบูรณ์แบบทุกตำแหน่ง เกมรับ เกมรุก มาครบ รอบแรก 3 นัดมี 7 แต้ม เข้ารอบสอง เจอของแข็งตลอดทาง ชนะอาร์เจนติน่า , ชนะอุรุกวัย , ชนะเบลเยี่ยม ถือว่าคู่ควรที่สุดกับตำแหน่งแชมป์โลก ไม่มีข้อกังขาเลยแม้แต่นิดเดียว

 

19) ตลอด 64 เกม เราเห็นความดราม่าเกิดขึ้นหลายเกมในฟุตบอลโลกครั้งนี้ เกาหลี ชนะเยอรมัน ก็ใช่ , จังหวะลูก้า โมดริช พลาดจุดโทษ แต่พลิกกลับมาเข้ารอบในเกมกับเดนมาร์กก็ระทึก, การคว้าชนะจุดโทษครั้งแรกในประวัติศาสตร์บอลโลกของอังกฤษก็ตื่นเต้น , แมตช์ฝรั่งเศส เชือดอาร์เจนฯ 4-3 ก็ลุ้นจนนาทีท้าย รวมถึงการคัมแบ็กของเบลเยี่ยม ในนัดตามหลังญี่ปุ่น 2 เม็ด ก็คลาสสิคเหลือเกิน เป็นเวิลด์คัพที่ดีจริงๆ

 

20) ประตูที่สวยที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้ มีชอยส์หลายลูก เลือกไม่ถูกเลย ขอเลือกแค่ 3 ลูก 
- โมดริชล็อกหลบโอตาเมนดี้ ก่อนปั่นเสียบเสานอกเขตโทษ พาทีมชนะอาร์เจนติน่า 3-0 
- ดิ มาเรีย ยิง 30 หลา ผ่านอูโก้ โยริส แบบคมกริบสุดๆ 
- โทนี่ โครส ยิงฟรีคิก นาที 90+5 มันนิ่ง มันเยือกเย็น ยิงได้ขนาดนั้นตอนทดเจ็บ สุดยอดมาก

 

 

21) รัสเซียได้รับคำชมมหาศาลในการจัดฟุตบอลโลกครั้งนี้ สนามสวยงาม ผู้จัดใส่ใจรายละเอียด การเหยียดผิวหรือความรุนแรงที่ใครๆก็กลัว ไม่เกิดขึ้นในทัวร์นาเมนต์นี้ มันแสดงให้เห็นว่า วิธีลบคำวิจารณ์ที่ดีที่สุด คือ ทำมันให้ดีที่สุดเมื่อได้รับโอกาส จากนี้ไป ภาพลักษณ์ของรัสเซียในสายตาชาวโลกย่อมต้องดูดีขึ้นบ้าง และการรายได้จากการท่องเที่ยวในอนาคต ก็ควรจะเพิ่มมากขึ้นด้วย

 

22) มีการประกาศออกมาแล้วว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการจัดฟุตบอลโลกครั้งนี้ ของรัสเซีย คือ 14200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยคือ 468600 ล้านบาท ถ้าคุณคิดจะเป็นเจ้าภาพบอลโลก ต้องมีเงินระดับนี้ ซึ่งตัวเลขนี้ จะเป็นเครื่องเตือนใจให้ชาติไหนก็ตามที่คิดเป็นเจ้าภาพบอลโลก ว่า มันไม่ง่ายนะ

 

23) ฟีฟ่ายังคงทำการตลาดได้ยอดเยี่ยมที่สุด มีการจ้างตำนานของแต่ละชาติ มานั่งชมเกมในสนาม เพื่อให้ช่างภาพคอยจับ รีแอ็กชั่น เวลาลุ้นเวลาเชียร์ นี่ยังรวมไปถึงการที่ฟีฟ่าจับกระแสเรื่องหมูป่า 13 ชีวิตที่ติดถ้ำ และเชิญทุกคนมาชมเกมนัดชิงฟุตบอลโลก ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่า เด็กๆเพิ่งออกจากถ้ำไม่กี่วัน จะไปได้อย่างไร เป็นชั้นเชิงทางพีอาร์ล้วนๆ แต่ก็นะ เข้าใจได้

24) บทสรุปของฟุตบอลโลกครั้งนี้ ถือเป็นการแข่งขันที่น่าประทับใจมากๆ เกมฟุตบอลเต็มไปด้วยคุณภาพ มีดราม่า มีความยุติธรรม มีเซอร์ไพรส์ และปิดท้ายด้วยทีมแชมป์ที่คู่ควร

31 วัน 64 แมตช์ สุดยอดจริงๆ

จากวันนี้ จะมีเรา เราและนาย

Goodbye Russia 2018!

#FIFAWorldcup

 

 

 

ขอขอบคุณคุณ : เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง

 

 

 

มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในความทรงจำ กับฟุตบอลโลกที่ยอดเยี่ยมไปเสียทุกอย่าง ทั้งคุณภาพของเกม ดราม่า เรื่องเซอร์ไพรส์ และการเป็นเจ้าภาพที่ดีจริงๆของรัสเซีย นี่คือบทสรุป 24 ข้อ ในเวิลด์คัพครั้งนี้