1.เวลาอาจผ่านมาถึง 10 ปีแล้ว แต่สำหรับเดอะ ค็อป ความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อ “เอล บอส” ราฟา เบนิเตซ ไม่เคยเปลี่ยน
ชายผู้มาพร้อมกับปาฏิหารย์แห่งอิสตันบูล ชายผู้นำไม่ได้นำถ้วย“บิ๊กเอียร์” กลับมาสู่แอนฟิลด์เป็นการถาวร แต่ยังนำความสุขและความภาคภูมิใจกลับคืนสู่แอนฟิลด์ตลอดระยะเวลาที่เป็นนายใหญ่ในทีมฝั่งสีแดงของเมอร์ซีย์ไซด์ด้วย
แชมป์ยุโรป (และแชมป์เอฟเอ คัพ ในปีต่อมา) อาจเป็นความทรงจำที่สวยงาม แต่ฤดูกาลที่ดีที่สุดของกุนซือชาวสเปนกับลิเวอร์พูล คือฤดูกาล 2008-09 ปีที่เขายกระดับทีมจนแข็งแกร่งและพร้อมที่จะท้าชิงแชมป์ลีกสูงสุดได้อีกครั้ง
เวลานั้นเครื่องจักรสีแดงมียอดขุนพลอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด, เฟร์นานโด ตอร์เรส, ชาบี อลอนโซ, ฮาเวียร์ มาสเชราโน, ซามี ฮูเปีย, ดาเนียล แอกเกอร์, เดิร์ค คอยต์, เจมี คาร์ราเกอร์, เปเป เรนา และอีกมากมายอยู่ในทีม
ลิเวอร์พูล ผ่านคริสต์มาสด้วยการนำจ่าฝูง และเมื่อพ้นโปรแกรมช่วงปีใหม่พวกเขามีแต้มนำหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ 7 แต้ม
แต่จู่ๆในวันที่ 9 ม.ค. ในระหว่างการแถลงข่าว นักข่าวในห้องถึงกับงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับราฟา เมื่อกุนซือชาวสเปนนำเอกสาร A4 ปึกหนึ่งเพื่อใช้ประกอบเนื้อหาที่เขาตั้งข้อสงสัยว่าถึงการจัดโปรแกรมการแข่งขันของพรีเมียร์ลีกที่ดูจะ “เอื้อ” เป็นใจให้กับคู่แข่งอย่างยูไนเต็ด
“ผมอยากจะพูดถึงข้อเท็จจริงบางอย่าง”
ราฟา เปิดการสนทนาด้วยประโยคนี้ ก่อนจะใช้เวลาอีก 5 นาทีในการพูดถึงประเด็นข้อสงสัยที่เขาคับข้องใจ
เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ได้ – มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิด
เพราะกลายเป็นการถูกเผยไต๋ถึงความรู้สึกกดดันและหวาดกลัวของราฟา ที่มีต่อการเผชิญหน้าบรมกุนซืออย่างเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้เป็นหนึ่งในเรื่องของการใช้เกมจิตวิทยาเพื่อเล่นงานคู่แข่งที่เคยได้ผลมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ครั้งนี้แปลกตรงที่ราฟา ดูเหมือน “จิตหลุด” โดยที่เฟอร์กี ไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ
บางทีราฟา คิดถึงการดึงเฟอร์กี มาเล่นสงครามประสาทแต่พลาดตรงที่คู่แข่งของเขาไม่เคยแพ้ใครในเรื่องนี้ และบางทีเรื่องของโอกาสที่ยูไนเต็ด จะคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 18 ซึ่งจะเทียบเท่ากับลิเวอร์พูล ทำให้ราฟา เกิดความรู้สึกที่แรงกล้าเกินไปที่จะขัดขวางไม่ให้ยูไนเต็ดทำในสิ่งสุดท้ายที่เดอะ ค็อป อยากเห็น
แกรี่ เนวิลล์ หนึ่งในขุนพลปีศาจแดงชุดนั้นเคยเล่าถึงเหตุการณ์นี้ว่า “ผมจำได้ว่าผมนั่งดูข่าวทาง Sky Sports News อยู่ที่บ้าน แล้วคิดว่า ‘เขาทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย’?
เรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นจุดผิดพลาดของ ราฟา ที่กลายเป็นแก้วที่แตกร้าว ความกดดันถาโถมสู่เขาและแน่นอนว่ามันถูกถ่ายทอดลงมาสู่ทีมและสุดท้ายเรื่องจบลงที่ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 18 ได้สำเร็จ
2.ระหว่างเดอะ ค็อป และทูน อาร์มี พวกเขามีความคล้ายคลึงกัน
กองเชียร์เหล่านี้คือเหล่ากองเชียร์เผ่าพันธุ์ที่เกิดมาเพื่อสนับสนุนทีมจนวินาทีสุดท้าย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
นิวคาสเซิล อาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จใดๆโดยเฉพาะนับตั้งแต่สโมสรที่รักของพวกเขาตกเป็นสมบัติของไมค์ แอชลีย์ เจ้าของสโมสรที่เลวร้ายที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเกมฟุตบอล ซึ่งแตกต่างจากยุคสมัยที่เซอร์ จอห์น ฮอลล์ เป็นเจ้าของ และมีเฟร็ดดี เชฟเพิร์ดคอยดูแลบริหารกิจการอย่างลิบลับ
แต่ถึงจะเกลียดแอชลีย์ ยิ่งกว่าของเสียในลำไส้ ชาวจอร์ดี ไม่เคยเกลียดทีม
และพวกเขารักราฟา เบนิเตซ – เหมือนกับเดอะ ค็อป
ลิเวอร์พูล และนิวคาสเซิล ยังมีความทรงจำร่วมกัน โดยเฉพาะในแมตช์การแข่งขันที่ถูกยกย่องว่าตื่นเต้นและน่าเหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 23 ปีที่แล้วที่แอนฟิลด์
ในยุคนั้นนิวคาสเซิล เป็นทีมที่ดีกว่าลิเวอร์พูล พวกเขาอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ใช้เงินทุนในการเสริมทัพเพื่อทำความฝันของชาวจอร์ดีให้เป็นจริงมากมาย มีนักเตะระดับสตาร์อย่างเลส เฟอร์ดินานด์, ฟาอุสติโน อัสปริลญา, ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์, ดาวิด ชิโนลา ที่ถือเป็นระดับท็อปของพรีเมียร์ลีกในเวลานั้น
แต่ลิเวอร์พูล ก็อยู่ในช่วงของการพยายามจะกลับมาประสบความสำเร็จและพวกเขาก็มีคู่กองหน้าที่ดีที่สุดคู่หนึ่งของพรีเมียร์ลีกอย่าง ร็อบบี ฟาวเลอร์ และสแตน “เดอะ แมน” คอลลีมอร์ หัวหอกพรสวรรค์ที่ครบเครื่องที่สุด รวมถึง สตีฟ แม็คมานามาน, เจมี เรดแนปป์, จอห์นบาร์นส, เจสัน แม็คเคเทียร์
พลังทำลายล้างของเหล่าแนวรุกทำให้ตัวเลขบนสกอร์บอร์ดน่าเหลือเชื่อ ลิเวอร์พูล 4-3 นิวคาสเซิล
ลำพังแค่เห็นสกอร์ก็ดูน่าตื่นเต้นแล้ว แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างนาทีแรกจนถึงนาทีสุดท้ายกับประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของสแตน คอลลีมอร์ มันน่าตื่นเต้นจนชวนให้หัวใจหยุดเต้น
ภาพของเควิน คีแกน “เดอะ ไมตี เมาส์” ของเดอะ ค็อป ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในทีมนิวคาสเซิล ที่ถึงกับทรุดหลังเห็นคอลลีมอร์ ยิงประตูชัยกลายเป็นหนึ่งในภาพจำที่ยากจะลืมเลือน
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือในฤดูกาลต่อมา การพบกันของคู่นี้ก็จบลงด้วยสกอร์เท่าเดิม 4-3
เรื่องระหว่างทางก็พอจะน่าเหลือเชื่อเหมือนกันเมื่อลิเวอร์พูล ขึ้นนำก่อน 3-0 ก่อนที่นิวคาสเซิล จะใช้เวลา 17 นาทีในการทำ 3 ประตูเพื่อไล่ตีเสมอ จากคีธ จิลเลสพี ในนาทีที่ 71 ต่อด้วยอัสปริลญา และวอร์เรนบาร์ตัน ตีเสมอ 3-3 ในนาทีที่ 88
แต่สุดท้าย ร็อบบี้ ฟาว เลอร์ มาโหม่งพังประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บให้ลิเวอร์พูล ชนะด้วยความน่าตื่นเต้นอีกครั้ง
ผลการแข่งขัน 2 ฤดูกาลนั้นทำให้ทุกครั้งที่ลิเวอร์พูล พบกับนิวคาสเซิล มักจะถูกคาดหวังว่าจะเป็นเกมที่ยิงกันถล่มทลาย
เพียงแต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นทุกครั้งไป
3.ทุกยุคสมัย นิวคาสเซิล ไม่เคยขาดศูนย์หน้ายอดขวัญใจหมายเลข9
พวกเขาเคยมี มัลคอล์ม แม็คโดนัลด์, แอนดี โคล, อลัน เชียเรอร์และหากไม่คิดถึงหมายเลขเสื้อก็อาจจะรวมถึง ไมเคิล โอเว่น ด้วย
ศูนย์หน้ายอดขวัญใจเป็นเหมือน “ศูนย์รวม” ของชาวจอร์ดี ที่หากขาดไปเมื่อไหร่ นิวคาสเซิลก็เหมือนร่างที่ไม่มีหัวใจไปเมื่อนั้น
เรื่องนี้เป็นปมที่ค้างคามานาน จนกระทั่งพวกเขาค้นพบว่าพวกเขาโชคดีแค่ไหนที่ได้ ซาโลมอน รอนดอน หัวหอกชาวเวเนซูเอลา มาจากเวสต์ บรอมวิช อัลเบียน โดยส่ง ดไวท์ เกย์ล ไปเป็นตัวแลกเปลี่ยน
แม้จะเริ่มต้นด้วยความยากลำบาก แต่ในที่สุดรอนดอน ก็ค่อยๆเรียกฟอร์มการเล่นเดิมๆที่เคยทำให้ครั้งหนึ่งสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปต่างปรารถนาจะได้ตัวเขามาร่วมทีม
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเล่นงานแนวรับของลิเวอร์พูล ที่ถูกบัญชาโดยเวอร์จิล ฟาน ไดค์ ได้แบบนี้ แต่รอนดอน ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ในการพักบอล เชื่อมบอล ประสานงานกับเพื่อนร่วมทีม
และลูกยิงวอลเล่ย์สุดสนั่นลูกนั้นที่พุ่งเสียบเสาชนิดที่ อลิสซัน ประตูระดับชั้นนำของโลกไม่มีสิทธิ์คิดที่จะป้องกัน
นิวคาสเซิล ไล่ตามลิเวอร์พูลมาอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 ของเกม และครั้งนี้เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของนักเตะในชุดแดงเพลิง
“เดอะ แม็กพายส์” ภายใต้การนำของ ราฟา อยู่ในช่วงที่ดีที่สุดและพวกเขาแสดงให้เห็นว่าการเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี ได้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสามารถในการกำหนดรายละเอียดในแท็คติกการเล่นของ “เอล บอส” และการตอบสนองต่อคำสั่งอย่างเคร่งครัดของนักเตะในทีมที่ “เชื่อ” ในตัวเขา ทำให้ทีมที่มีนักเตะธรรมดาๆอย่างนิวคาสเซิล กลายเป็นทีมที่มีความพิเศษ
สายฟ้ายังฟาดซ้ำลงมากลางใจเดอะ ค็อป อีกครั้งเมื่อซาลาห์ ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะจากอุบัติเหตุการปะทะกันกลางอากาศกับมาร์ติน ดูบลาฟกา
พวกเขาอ่อนล้าจากการกรำศึกหนัก พวกเขาเพิ่งพ่ายแพ้อย่างย่อยยับต่อบาร์เซโลนา ในเกมที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้นอีกแล้ว และยังมาเสีย ซาลาห์ ไปอีกคนไม่นับการขาดโรแบร์โต เฟียร์มิโนที่ไม่สามารถลงช่วยทีมไหวก่อนอยู่แล้ว
มันชวนให้คิดว่าการต่อสู้เพื่อเกียรติยศสูงสุดที่หายไปของลิเวอร์พูล อาจจะจบลงแค่ตรงนี้
ทุกอย่างมันดูยากเกินไป
ราฟา ผู้เป็นที่รักของเดอะ ค็อป กำลังจะดับความฝันทีมเก่าของเขาเหมือนที่ตัวเขาเคยเจอในโชคชะตาคล้ายกันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
แต่นั่นก็สมกับเป็นราฟา – มืออาชีพตัวจริงเสมอ
มันยังทำให้อดคิดไม่ได้ถึงเหตุการณ์เมื่อ 5 ปีก่อนที่ ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ เบร็นแดน ร็อดเจอร์ส พยายามโหมบุกถล่มใส่คริสตัลพาเลซ เพราะไม่เพียงแต่ต้องการชัยชนะ ยังต้องการชนะด้วยสกอร์ที่มากที่สุดเพราะผลต่างประตูได้เสียเป็นรองแมนเชสเตอร์ ซิตี ถึง 9 ลูก
วันนั้นลิเวอร์พูล ขึ้นนำก่อน 3-0 แต่พาเลซ กลับไล่ตามตีเสมอได้3-3 จากการจุดประกายด้วยลูกยิงไกลสุดเหลือเชื่อของ ดาเมียน เดลานีย์ ก่อนที่ ดไวท์ เกย์ล (ใช่ – คนที่ย้ายสลับตัวกับรอนดอน) จะเอามีดกรีดกลางใจอดีตแชมป์ 18 สมัยด้วยการทำ 2 ประตูรวดตีเสมอได้สำเร็จ
หลุยส์ ซัวเรซ สะอื้นไห้เพราะรู้ว่าความฝันได้สูญสลายไปแล้ว และมันเป็นภาพที่สะท้อนความผิดหวังของลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2013-14 ได้ชัดเจนที่สุด
แต่ขณะที่เข็มนาฬิกาเคลื่อนไปข้างหน้า เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึง 5 นาที
ดูเหมือนโชคชะตาอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ดิวอค โอริกิ ศูนย์หน้าตัวสำรองกลายเป็นฮีโร่ของทีมอีกครั้งเมื่อโขกพังประตูจากลูกฟรีคิกที่ถูกเปิดโดย เชร์ดาน ชาคิรี (ตามคำสั่งของเวอร์จิล ฟาน ไดค์) เข้าไปตุงตาข่าย
มันเป็นการต่อสู้อย่างถึงที่สุดจริงๆของนักเตะลิเวอร์พูล ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้มากกว่านี้อีกแล้ว
ทุกบททดสอบที่หนักหนาสาหัส ทุกเกมที่เหมือนทุกอย่างจะดับสลาย ทุกครั้งที่ความหวังจะดับสูญ
พวกเขากลับมาได้ทุกครั้ง
ในขณะที่ ราฟา พลาดในสงครามจิตวิทยาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ส่วนร็อดเจอร์ส เหมือนโชคชะตาจะไม่เป็นใจ
คราวนี้ลิเวอร์พูลของคล็อปป์ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดแบบนั้น และในความจริงพวกเขาทำได้เกินเลยจากที่ทีมฟุตบอลปกติจะทำได้แล้วด้วยซ้ำ
จริงอยู่ที่พวกเขายังเหลือเกมในมืออีก 1 นัด และเป็นเกมที่ยากในการรับมือทีมที่แข็งแกร่งอย่างวูล์ฟส ที่มีลุ้นไปฟุตบอลยุโรป และแน่นอนพวกเขายังมีเกมที่ต้องพยายามกับบาร์เซโลนา
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะต้องสนใจในเวลานี้
นั่นรวมถึงเกมระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี และเลสเตอร์ ว่าเบร็นแดน ร็อดเจอร์ส จะยื่นมือมาช่วยหรือไม่ ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
พวกเขาทำในสิ่งที่ต้องทำหมดแล้ว
และเหมือนที่ คล็อปป์ ว่าไว้ “ที่เหลือก็คือเรื่องของโชคชะตา”
------------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณ : ลูกแม่กิ่ง https://sportdesk